29 สิงหาคม 2552

คุณรู้จักอีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ ดีแล้วหรือยัง

..........ในปัจจุบัน อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายถึงคุณสมบัติด้านการบำรุงผิวพรรณและการดูแลสุขภาพ จนกระทั่งได้รับการขนานนามว่า “King’s Cure All” วันนี้สุขภาพดีได้ by สิเรมอร จะพามารู้จักกับ อีฟนิ่ง พริมโรสออยล์ ว่าแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรกัแน่
..........อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ (Evening Primrose Oil) หรือ อีพีโอ (EPO) คือ น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดของดอกอีฟนิ่ง พริมโรส ซึ่งจากการวิเคราะห์หาองค์ประกอบภายในพบว่าในเมล็ดของดอกอีฟนิ่ง พริมโรสประกอบด้วยน้ำมันซึ่งมีกรดไขมันที่จำเป็นชื่อ ไลโนเลอิก แอซิด และแกมม่า ไลโนเลนิกแอซิด ซึ่งจีแอลเอนี้เป็นสารต้นกำเนิดของพรอสต้าแกลนดิน อี วัน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆในร่างกายเรา
...........จากประโยชน์มากมายของอีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ จึงมีผู้นำมาใช้รักษาอาการของโรคต่าง ๆ ทั้งในด้าน การบำรุงสุขภาพร่างกายและสุขภาพผิวพรรณ อย่างเช่น ช่วยบำรุงผิวพรรณ โดยช่วยในการรักษาปัญหาผิวหนังอักเสบชนิดต่างๆ ป้องกันอาการผิวแห้ง ทำให้ ผิวเนียนนุ่มมีความชุ่มชื้น ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน
............นอกจากนี้อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ ยังช่วยรักษาอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้ รวมถึงการรักษาริมฝีปากที่แห้งแตก และอาการ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ ลดอาการผิดปกติก่อนมีรอบเดือน เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บหน้าอก บวมน้ำ กระวนกระวาย หงุดหงิด หรือโมโหง่าย ซึ่งมีสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดกรดไขมันจำเป็นบางชนิด จึงทำให้มีการแปรปรวนของฮอร์โมนเพศหญิง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และร่างกาย ดังนั้น เมื่อนำ อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ มาใช้ในการรักษา จึงช่วยให้การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในรอบเดือน จึงช่วยบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆ ให้ดีขึ้นด้วย
............อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ยังช่วยลดการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิตให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ จึงลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและยังช่วยลดอาการปวดข้อ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยารักษาข้ออักเสบแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับปกติได้ และในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งมักจะมีอาการเสื่อมของระบบประสาทเมื่อมีการนำ
อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์มาช่วยเสริมการรักษาจะช่วยให้ประสาทสัมผัสดีขึ้น รวมทั้งการเสื่อมของสายตาก็จะช้าลงด้วย
............สำหรับปริมาณที่แนะนำของจำนวนของกรดไขมันแกมมา ไลโนเลอิก ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้น คือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นปริมาณของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สำหรับรักษาอาการต่างคือ รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเทียบเท่ากับปริมาณแกมมา ไลโนเลอิก 240 มิลลิกรัมตามที่ต้องต่อวัน และสำหรับสำหรับผู้ป่วย เบาหวาน ปริมาณที่รับประทานคือ ครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทาน น้ำมันปลา (Fish Oil) อีกครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
..........ประโยชน์ของน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรสนั้นก็มีมากมายไปหมด แต่ว่าหากเรารับประทานนอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แถมด้วยการทำจิตใจให้เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา เท่านี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้วคะว่าร่างกายจะขาดสารอาหารตัวใดบ้าง เป็นเคล็ดลับง่ายๆที่สำคัญยังไม่เปลืองสตางค์อีกด้วยนะคะ

Read More

แคลเซียม…แร่ธาตุมหัศจรรย์

...........คอลัมน์ สุขภาพดีได้ by สิเรมอร เชื่อว่าผู้อ่านทุกคนคงเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ในเรื่องของการเสริมแคลเซียมเพื่อฟันและกระดูกที่แข็งแรง...แต่ผู้อ่านทราบหรือไหมคะว่าการเสริมแคลเซียมไม่ใช่เพื่อการบำรุงกระดูกเพียงอย่างเดียว แต่แคลเซียมยังมีประโยชน์ต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายอีกมากมาย ที่หลายๆ คนยังไม่เคยทราบมาก่อน...เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักกับแคเซียมกันดีกว่าว่าแคลเซียมมีความสำคัญอย่างไร
แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่พบอยู่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ประมาณ โดยในร่างกายคน 50 กิโลกรัม จะมีแคลเซียมอยู่ประมาณ 1 กิโลกรัม ฟันและกระดูกเป็นแหล่งที่ประกอบด้วยแคลเซียมมากที่สุดของแคลเซียมที่มีอยู่ทั้งหมดในร่างกายคิดเป็นประมาณ 99% แคลเซียมที่อยู่ในเนื้อเยื่อเหล่านี้ส่วนมากอยู่ในรูปของเกลือแคลเซียมฟอสเฟต ส่วนเซลล์ประสาท เนื้อเยื่อร่างกาย เลือด และของเหลวอื่นๆ ในร่างกาย ประกอบด้วยแคลเซียมที่เหลือ
...........แคลเซียมมีหน้าที่หลักในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงนั้น มีความสำคัญยิ่งต่อการดูดซึม การเก็บรักษา และหน้าที่ในการเผาผลาญของวิตามินเอ ซี ดี อี ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมนอกจากนี้แคลเซียมยังจำเป็นต่อการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ รวมทั้งมีความสำคัญสำหรับสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด เช่น การเต้นของหัวใจ และการแข็งตัวของเลือด แคลเซียมจำเป็นอย่างมากต่อการเจริญของกล้ามเนื้อ การส่งสัญญาณประสาทที่ถูกต้อง ความสมดุลของกรดด่างในเลือดและความดันโลหิตให้เป็นปกติ
อาการของโรคและสภาวะที่ควรจะได้รับแคลเซียม ได้แก่ โรคกระดูดพรุน คือ โรคที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกไม่สามารถจะรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการกระดูกหักตามมา มีงานวิจัยชี้ว่า แคลเซียมจากอาหารสดจะช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือแคลเซียมสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
..........สำหรับการทำงานของแคลเซียมจะเริ่มจากเมื่อร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหารก็จะถูกกรดในกระเพาะทำให้แคลเซียมแตกตัวได้ดีขึ้นและถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากบริเวณลำไส้ส่วนต้น ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้ประมาณร้อยละ 20-40 หลังจากนั้นแคลเซียมจะเข้าสู่เลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิตแล้ว ไปสู่อวัยวะต่างๆ ส่วนใหญ่จะเข้าสู่กระดูก นอกนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
..........สำหรับการทานแคลเซียมต่อวัน แบ่งตามวัยเป็น 3 ช่วง ดังนี้ วัยเด็กวันละ 200-500 มิลลิกรัม วัยผู้ใหญ่วันละ 1,000 มิลลิกรัม วัยทองกับสตรีมีครรภ์วันละ 1,200 มิลลิกรัม
..........แคลเซียมที่ได้จากอาหารเป็นแคลเซียมที่ดีและคุ้มค่าที่สุดในการเสริมสร้างกระดูกและฟันเพื่อให้ได้แคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นการสร้างนิสัยการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงทุกวันตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และแหล่งอาหารที่ดีที่สุดของแคลเซียมนั้นได้แก่ นม ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งองค์การอนามัยโลกใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินคุณภาพของโปรตีนในอาหาร ทั้งนี้เพราะเมื่อร่างกายได้รับนม ร่างกายจะสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าอาหารประเภทอื่น รวมทั้งสามารถดูดซึมโปรตีนจากนมไปใช้ได้มากด้วย นอกจากนมแล้วก็ยังมี สาหร่ายทะเลสีน้ำตาล เมล็ดแอลมอนด์ ถั่วบราซิล บรอคโครี่ กะหล่ำปลี ไข่ปลาคาร์เวีย ผลมะเดื่อ มาสตาร์ดเขียวข้าวโอ๊ต ผักชีฝรั่ง ลูกพรุน ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน อาหารทะเล หอยนางรม เมล็ดเครื่องเทศ ถั่วเหลือง เต้าหู โยเกริต์ พริก กระถิน ใบยอ กะเพราโหระพา กระเจี๊ยบ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ป๋วยเล้งและคะน้า
..........ส่วนแหล่งแคลเซียมที่หาทานได้ตามบ้านเรานั้นก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็น แกงคั่วหอยขม ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม อึ่งแห้ง เขียดย่าง หมกปลาแก้ว แจ่วปลาร้า และกุ้งชุบแป้งทอด โดยพบว่า ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม หมกเคย กุ้งฝอยชุบแป้งทอด จะมีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 393.6-915.3 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม เรียกว่าทานแค่ 1 ขีดก็ได้แคลเซียมพอในปริมาณที่เพียงพอแล้ว
...........เห็นไหมละค่ะว่าแคลเซียมนั้นไม่จำเป็นต้องได้มาจากนมเพียงอย่างเดียว หากใครที่ไม่ชอบดื่มนมเอาเสียเลย เมนูอาหารที่สิเรมอรได้เอามาฝากนั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ผิดอะไร ถึงอย่างไรหากเราทานแต่แคลเซียมเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราก็ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทานอาหารให้ครบทุกหมู่ด้วย แต่ถ้าใครมีเวลาว่างสิเรมอรแนะนำให้ลองเข้าวัดทำบุญ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง รับรองว่าคุณจะมีทั้งสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงอย่างแน่นอนค่ะ

Read More

เปิปข้าว

หากใครที่ทานข้าวไม่หมดลองอ่านบทกวีบทนี้ดูนะค่ะ

........เปิบข้าวทุกคราวคำ
จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกินจึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรสให้คนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทนและขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวงระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราวล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาดทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็นจึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดงและน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น
ที่สูซดกำซาบฟัน

ผ้แต่ง จิตร ภูมิศักดิ์

Read More

26 สิงหาคม 2552

สัญญา...ลดโลกร้อน


........ปัจจุบันนี้กระแสการลดภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศต่างๆ เริ่มตื่นตัวต่อผลกระทบที่เกิดจากภาวะเรือนกระจกมากขึ้นทุกที นอกจากนั้นยังมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในประเทศหันมาช่วยกันลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย
........ผลกระทบที่เกิดจากการภาวะเรือนกระจกนั้นก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธารน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การอพยพถิ่นฐานของสัตว์ต่างๆ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป และอีกหลายอย่าง สิ่งที่เกิดนี้ไม่ได้เกิดจากการเผาขยะตามบ้านเรือนหรือการขนส่งเพียงอย่างเดียว อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ แม้ว่ามันจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนก็ตาม เพราะการที่โลกของเราเกิดภาวะเรือนกระจกอย่างทุกวันนี้ สาเหตุหลักนั้นเกิดจากการปล่อยก๊าซของโรงงานอุตสาหกรรม
ทำให้บรรยากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไป จึงมีการประชุมกันหลายครั้งเพื่อหาทางควบคุมหรือลดภาวะโลกร้อนจนนำไปสู่การลงนามในการประชุมที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นและเรียกข้อตกลงนี้ว่าสนธิสัญญาเกียวโต
........สนธิสัญญาเกียวโตตั้งชื่อขึ้นตามสถานที่ในการเจรจาที่เมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2540 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 การมีผลบังคับใช้เกิดขึ้น 90 วัน หลังจากการให้สัตยาบันของประเทศรัสเซีย ซึ่งปล่อยก๊าซ 17% ของโลก ทำให้ครบเงื่อนไขที่ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อมีประเทศร่วมให้สัตยาบันไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ โดยจะต้องมีประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมารวมแล้วอย่างน้อย 55% ของปริมาณที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้มีประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 169 ประเทศ
........สนธิสัญญาสารเกียวโตซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกอย่างว่าเป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับภูมิอากาศของโลก เพื่อบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับเดียวของโลกที่มีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลทั่วโลกต้องใช้เพื่อจัดการการปล่อยก๊าซคาร์บอนอันเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกในประเทศของตน
........ประเทศที่ตอนนี้ได้ปล่อยก๊าชคาร์บอนมากที่สุดในโลกก็คือ พี่ใหญ่ของเอเชียหรือประเทศจีนนั่นเอง ประเทศจีนได้ปล่อยก๊าชมากที่สุดแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ครองอันดับหนึ่งมาหลายสมัย โดยที่จีนได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 6,200 ล้านตัน และสหรัฐอเมริกาปล่อย 5,800 ล้านตัน
แม้ว่าจีนจะเข้าร่วมสนธิสัญญาเกียวโตแล้ว แต่ก็ยังมีท่าทีอิดออดในการลดภาวะเรือนกระจก ทั้งยังออกมาอ้างว่าตนยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ต้องทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและขจัดปัญหาความยากจน รวมถึงการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนดีขึ้น ดังนั้นการที่จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นจึงถือเป็นเรื่องธรรมดา
........การที่ประเทศจีนก็ได้มีการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาช่วยกันลดภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะโดยการถีบจักรยานแทนการใช้ขนส่งอย่างอื่นที่ทำให้เกิดมลพิษ การหันมาใช้พลังงานทดแทน การรณรงค์ให้ปลูกต้นไม้ ล้วนแต่ทำให้คนในประเทศตื่นตัวกันทั้งสิ้น แต่น่าแปลกที่ผู้นำประเทศไม่กล้ายืนยันถึงการลดการปล่อยก๊าซ หรือเป็นเพราะว่าผู้นำของจีนนั้นไม่ได้คิดที่จะช่วยในการลดภาวะเรือนกระจกอย่างจริงจังกันแน่
........การที่ประเทศจีนอ้างว่าตนเองเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ต้องทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและขจัดปัญหาความยากจนของคนในประเทศ แล้วไม่ยอมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างจริงจังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมกับประเทศอื่นๆ แม้แต่น้อย เพราะถึงจีนจะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว แต่บทสรุปก็คือประเทศจีนปล่อยก๊าซอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นประเทศจีนก็ควรจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไปด้วย ไม่ใช่นั่งรอให้ประเทศอื่นๆ ลดการปล่อยก๊าซ แต่ประเทศของตนก็ยังตะบี้ตะบันปล่อยก๊าซอันเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกกันต่อไป
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเทศจีนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนอันเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกเป็นอันดับหนึ่ง อย่างน้อยประเทศจีนก็ยังมีความรับผิดชอบอยู่บ้างโดยการเข้าร่วมสนธิสัญญาเกียวโต เพื่อช่วยลดภาวะเรือนกระจก แต่ก็ยังมีอีกประเทศซึ่งเป็น “พี่เบิ้ม” ของโลกที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่าจะไม่เข้าร่วมสนธิสัญญานี้เด็ดขาด ซึ่งพี่เบิ้มที่ว่านี้ก็คือ ประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง
.........สหรัฐอ้างว่าหากตนเข้าร่วมสนธิสัญญาเกียวโตก็เป็นการทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐเอง และยังอ้างว่าถึงแม้ตนจะไม่ได้เข้าร่วมสนธิสัญญาครั้งนี้ แต่ประเทศสหรัฐก็ยังตื่นตัวในภาวะโลกร้อนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ก็จะมีมาตรการในการลดภาวะโลกร้อนนี้ได้โดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมสนธิสัญญาครั้งนี้อีกด้วย
น่าแปลกใจจริงๆ ถ้าหากสหรัฐตื่นตัวและให้ความสำคัญกับภาวะเรือนกระจกอย่างจริงจังแล้วทำไมจึงไม่ลงชื่อเข้าร่วมสนธิสัญญาเกียวโตครั้งนี้ หรือแท้ที่จริงแล้วสหรัฐก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของภาวะโลกร้อนจริงจัง
.........แม้ว่าสนธิสัญญาเกียวโตจะมีมานานแล้ว แต่ปัญหาภาวะเรือนกระจกกลับไม่ได้ลดลงตามวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาฉบับนี้เลยหรือว่าทุกคนยังไม่ได้ให้ความใส่ใจกับภาวะเรือนกระจกมากพอ แต่ในทางตรงกันข้ามผลกระทบที่เกิดจากภาวะเรือนกระจกมีแต่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น หากระดับน้ำเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะตามแนวชายฝั่งทะเลมากขึ้น เกิดการสูญเสียที่ดิน เห็นได้จากการที่สหรัฐอเมริกาได้สูญเสียพื้นที่เกาะเวลสเกทในหมู่เกาะฮาวายไปแล้ว และประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีการกัดเซาะตามแนวชายฝั่งทำให้น้ำท่วมเข้าไปที่ชายมากขึ้นทุกปี ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ตามชายฝั่งก็ต้องอพยพออกห่างแนวชายฝั่งมากขึ้น และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าหากน้ำทะเลยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ พื้นที่บนบกก็คงต้องลดลงไปเช่นเดียวกัน
........อย่าคิดว่าภาวะเรือนกระจกเป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะผลที่เกิดจากภาวะเรือนกระจกนั้นมันส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ภาวะเรือนกระจกส่งผลให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อฝนไม่ตกตามฤดูกาล ประเทศไทยซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และหากฝนไม่ตกแล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนเพาะปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่างๆ ประเทศไทยก็จะขาดแคลนอาหารของประเทศ สุดท้ายก็ต้องสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นเพื่อให้คนไทยนำมาบริโภค เห็นอย่างนี้แล้วยังคิดอีกหรือไม่ว่าภาวะเรือนกระจกเป็นเรื่องที่ไกลตัว

Read More

22 สิงหาคม 2552

แม่น้ำ...แห่งชีวิต




.........แม่น้ำโขงเปรียบเสมือนเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณของคนลุ่มแม่น้ำ ประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า 60 ล้านคน มีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำโขงรวมถึงแม่น้ำสาขาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ บริเวณลุ่มน้ำโขงจึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ใช้เพื่อการเกษตร การคมนาคม และอีกมากมายหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คนในถิ่นนี้ แม่น้ำโขงมีความยาวเป็นอันดับ 10 ของโลกไหลผ่าน 6 ประเทศ คือ จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ปลามากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากแม่น้ำอะเมซอนในอเมริกาใต้ และแม่น้ำแซร์ในทวีปแอฟริกา มีจำนวนพันธุ์ปลาที่สำรวจพบ 1,245 ชนิด
.........แต่แม่น้ำแห่งสายชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไปจากเดิมเนื่องจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่มากกว่า 100 เขื่อน กั้นระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ โดยได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากสถาบันหลัก คือ ธนาคารพัฒนาเอเชีย ธนาคารโลก และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ซึ่งทั้ง 3 สถาบัน ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการควบคุมและจัดการแม่น้ำโขงเชิงพาณิชย์ เขื่อนที่ได้สร้างเสร็จไปแล้วมี 2 เขื่อน คือ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำมันวานสร้างเสร็จในปี 2539 และเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำต้าเฉาชานก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2546 ส่วนเขื่อนแห่งที่สามที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ คือ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเซี่ยวหวาน เป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2555 ทางด้านเขื่อนจิงหงที่ตั้งอยู่ที่เมืองจิงหงหรือเชียงรุ่งในแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งเดิมรัฐบาลจีนจะสร้างขึ้นเพื่อขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยเพราะมีระยะทางห่างจากชายแดนไทยเพียง 280 กิโลเมตร แต่เนื่องจากนโยบายของไทยขาดความชัดเจน รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจเดินหน้าในการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในประเทศจีน และถ้าหากต่อไปประเทศไทยยังมีความต้องการจะซื้อไฟฟ้าจากจีนจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ตามข้อตกลง รัฐบาลจีนก็จะพัฒนาเขื่อนอื่นเพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้ไทยต่อไป ดูเหมือนว่าโครงการดังกล่าวจะมีการวางแผนอย่างสวยงาม เลิศหรูแต่แท้ที่จริงแล้วกลับกลายเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ของประเทศที่จ้องจะตักตวงผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติและประชาชนริมฝั่งโขง เห็นได้จากการสร้างเขื่อนดังกล่าวนี้ เมื่อปี 2543 เกิดน้ำท่วมผิดธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เรื่อยตลอดลำน้ำลงมาจนถึงกัมพูชาและเวียดนาม มีผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วมครั้งดังกล่าวถึง 8 ล้านคน
........ส่วนโครงการที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อแม่น้ำโขงก็คือ การก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 8 แห่ง กั้นแม่น้ำโขงตอนบน ภายใต้โครงการหลานซาง - เจียง ซึ่งเป็นโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในมณฑลยูนนาน ของประเทศจีน โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงทักท้วงและความวิตกกังวลของประเทศที่อยู่ปลายน้ำคือไทย ลาว เวียดนาม พม่าและกัมพูชา ว่าจะมีผลกระทบต่อแม่น้ำโขง ระบบนิเวศและชุมชนอย่างไรบ้าง
........ถ้าหากมีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงขึ้นมาจริงๆ ก็จะส่งผลกระทบมหาศาล อย่างที่เห็นได้ชัด คือ การเปิด - ปิดประตูระบายน้ำของเขื่อนในประเทศจีน มีผลทำให้ปริมาณเฉลี่ยของน้ำเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในฤดูแล้งและปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลกระทบต่อการวางไข่และอยู่อาศัยของปลา ขณะเดียวกันในฤดูฝนการเก็บน้ำของเขื่อนทำให้น้ำไม่หลากตามธรรมชาติ ระดับน้ำที่จะท่วมในบริเวณป่าที่จะท่วมถึงบริเวณตอนใต้ของประเทศลาวและกัมพูชาลดลง ส่งผลกระทบไปถึงแหล่งอาหาร แหล่งเพาะพันธุ์วางไข่ แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ นั่นก็หมายความว่าปริมาณของพันธุ์ปลาหรือสัตว์น้ำก็จะลดลงไปด้วย
ที่สำคัญส่งผลกระทบไปยังภาคของการเกษตร เนื่องจากกว่าร้อยละ 80 ของนาข้าวบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ได้อาศัยธาตุอาหารต่าง ๆ ที่มากับตะกอนในช่วงฤดูน้ำหลาก เมื่อมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำโขง ทำให้วงจรการไหลของน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ปริมาณตะกอนที่มีประโยชน์ต่อการเพาะปลูกลดน้อยลง ส่งผลไปถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินและปริมาณผลผลิตทางการเกษตรก็จะลดลงตามไปด้วย
........ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือประเทศจีนผุดโครงการระเบิดแก่งหินในแม่น้ำโขงเพื่อที่จะให้เรือเดินสินค้าเดินเรือได้อย่างสะดวก แน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาต้องเกิดขึ้น เนื่องจากแก่งหินที่อยู่ตามแม่น้ำโขงนั้นมีส่วนช่วยในการอนุบาลสัตว์น้ำอีกทั้งบริเวณแก่งหินมีไกหรือสาหร่ายน้ำจืดที่เป็นอาหารของปลาเกิดอยู่ และแก่งหินยังสามารถช่วยชะลอความแรงของน้ำในช่วงน้ำหลากได้อีกด้วย เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศจีนคิดจะระเบิดแก่งให้เรือสามารถเดินเรือต่อไปได้แต่ทำไมไม่คิดจะกำหนดเรือให้สามารถเดินเรือได้โดยไม่ต้องระเบิดแก่งหิน
........นอกจากนั้นประเทศจีนยังให้เงินสนับสนุนงบประมาณเป็นเงินถึง 200 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท พร้อมทำข้อตกลงการเดินเรือในแม่น้ำโขงที่ระบุไว้ว่าไม่อนุญาตให้ทำการขุดดิน หิน ทราย วางตาข่ายจับปลา และเคลื่อนย้ายไม้ไผ่ หรือซุงลอยน้ำในบริเวณร่องน้ำ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายทั้งทางตรงและทางอ้อมในร่องน้ำที่สามารถเดินเรือได้
........หากการระเบิดแก่งหินดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จ แม่น้ำโขงที่เคยเป็นที่สมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารก็จะกลายเป็นเพียงแม่น้ำที่ใช้เดินเรือเพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงจะไม่มีสิทธิ์ในการทำมาหากิน ไม่มีสิทธิ์ในการหาปลา ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจับขอนไม้ที่ลอยมา ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้นในแม่น้ำโขงซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยหล่อเลี้ยงชีวิตคนริมฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ
.......คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย หากประเทศใดยอมรับข้อตกลงอันแสนจะเอาเปรียบนี้ เพราะหากยอมรับข้อตกลงอันนี้ก็เหมือนกับการทำลายครัวของประเทศตนเอง ซึ่งมันไม่ได้คุ้มค่ากันเลยที่ต้องทำลายปากท้องของประเทศเพียงเพื่อที่จะให้มีการเดินเรือผ่านไปได้ และวิถีชีวิตที่มีมาแต่ในอดีตจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยหาปลาเพื่อนำมาเป็นอาหารในครอบครัวก็จะกลายเป็นการซื้อจากตลาด ทำให้ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มขึ้น บางคนที่มีอาชีพหาปลาก็จะไม่มีงานทำสูญเสียรายได้ที่จะเข้ามา ใช่จะมีเพียงประเทศจีนเท่านั้นที่จ้องจะคุกคามแม่น้ำโขง ยังคงมีอีกหลายประเทศที่มีโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำสาขา ไม่ว่าจะเป็นลาวหรือเวียดนามโดยได้รับ การสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย และหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยอยู่ด้วย แม้จะมีบทเรียนจากเขื่อนปากมูลและเขื่อนราศีไศล เป็นเขื่อนที่สร้างกั้นแม่น้ำมูลหรือแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงที่ได้สร้างข้อขัดแย้งต่าง ๆ อย่างกว้างขวางถึงความไม่คุ้มค่าของโครงการนี้ เมื่อต้องแลกกับระบบนิเวศของพันธุ์ปลาที่สูญเสียไป และส่งผลกระทบมหาศาลต่อธรรมชาติและชุมชน อย่างเช่นกรณีของ ยายไฮ ที่ต้องสูญเสียที่ดินทำกินซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ เขื่อนปากมูนได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารโลกเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำ สร้างเสร็จเมื่อปี 2538 ส่วนเขื่อนราษีไศลได้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2536
.......อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว ในเมื่อวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนเกี่ยวกับสายน้ำจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เราทุกคนจึงควรตระหนักและให้ความสำคัญกับโครงการตัดต่อพันธุกรรมแม่น้ำโขง เพื่อให้สายน้ำที่เปรียบเสมือนสายเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตยังคงอยู่กับเราตราบนานเท่านาน

Read More